อาการ สาเหตุของโรคเหน็บชา
โรคเหน็บชา (Beriberi) หรือ โรคขาดวิตามินบี 1 เป็นโรคที่พบได้บ่อยในท้องที่ชนบทบางแห่ง โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ภาคอีสาน เป็นกลุ่มอาการที่มีสาเหตุหลักมาจากการขาดวิตามินบี 1 (วิตามินบีหนึ่ง) ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง ต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริม โดยผู้ป่วยจะมีอาการทางคลินิกหลายแบบขึ้นอยู่กับอายุและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็นโรคเหน็บชาในเด็กและโรคเหน็บชาในผู้ใหญ่
วิตามินบี 1 (Vitamin B1)หรือ ไทอะมีน (Thiamine) มีหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเผาผลาญอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้เกิดพลังงานเพื่อให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการนำกระแสความรู้สึกของเส้นประสาท ถ้าร่างกายได้รับวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอก็จะทำให้เป็นโรคเหน็บชาได้ (วิตามินบี 1 มีคุณสมบัติพิเศษคือไม่มีพิษตกค้าง ถ้าร่างกายได้รับมากเกินไปก็จะขับออกมาทันที)
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า โรคเหน็บชาเป็นโรคที่พบได้ในคนที่ผอมแห้งแรงน้อย แต่แท้จริงแล้วในคนทั่วไปก็ป่วยเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน เพราะพฤติกรรมการกินที่ขาดวิตามินบี 1 ทั้งจากการกินแต่ข้าว อาหารขยะต่าง ๆ หรืออาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1
อาการ...
**อาการชา หมายถึง อาการที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไม่สามารถรับความรู้สึกได้อย่างครบถ้วน
หรือทำให้ความรู้สึกต่อการสัมผัสบางอย่างเสียไปชั่วขณะ เช่น การชาต่อความรู้สึกเจ็บ
ชาต่อความรู้สึกสัมผัส ชาต่อความร้อนความเย็น หรือชาจนไม่รู้สึกอะไรเลย
**อาการเหน็บ หมายถึง อาการเจ็บป่วยที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกับอาการที่นั่งทับขาตนเองเป็นเวลานาน ๆ เช่น การนั่งพับเพียบเป็นเวลานาน ทำให้เท้าที่ถูกพับและถูกทับเป็นเวลานานเกิดอาการเจ็บปวดและชา จนบางครั้งอาจอ่อนแรงจนเหยียดขาไม่ออกและลุกขึ้นไม่ได้
สาเหตุของโรคเหน็บชา...

เกิดจากการกินอาหารที่มีสารทำลายหรือยับยั้งการดูดซึมของวิตามินบี 1 มากเกินไป เช่น ใบชา ใบเมี่ยง หมากพลู ปลาร้า ปลาส้มดิบ แหนมดิบ หอยลายดิบ ปลาน้ำจืดดิบ สีเสียด เป็นต้น
เกิดจากภาวะที่ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงต้องการวิตามินบี 1 สูงขึ้นด้วย เช่น ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เด็กในช่วงวัยเจริญเติบโต ผู้ใช้แรงงานหรือต้องทำงานหนัก (โดยเฉพาะกรรมกร ชาวนา) ผู้ป่วยที่มีไข้สูง ผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อ ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น จากการเป็นโรคหรือการผ่าตัดเกี่ยวกับทางเดินอาหาร, การฟอกไต (Dialysis), เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism), เป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางพันธุกรรม (Genetic deficiencies) เป็นต้น
ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเหน็บชา...
-หญิงตั้งครรภ์
-หญิงที่มีลูกอ่อนที่ต้องให้นมลูก
-ทารกที่กินนมมารดาเพียงอย่างเดียว โดยที่มารดาขาดวิตามินบี 1 หรือเป็นโรคเหน็บชา (ทำให้น้ำนมไม่มีสารอาหารที่เพียงพอสำหรับทารก) หรือทารกที่กินนมซึ่งไม่ได้มีส่วนผสมของวิตามินบี 1
-เด็กในวัยเจริญเติบโต
-คนวัยฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนที่ต้องออกแรงหรือทำงานหนัก ๆ เช่น กรรมกร ชาวนา นักกีฬา รวมถึงผู้ต้องขังในเรือนจำ และชาวประมงที่ออกทะเลเป็นเวลานาน ๆ
-ผู้สูงอายุ
-ผู้ที่รับประทานอาหารพวกแป้งและน้ำตาลมาก แต่รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 น้อย
-ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 หรืออาหารบางชนิดที่ผลิตเอนไซม์ยับยั้งการทำงานของวิตามินบี 1
-ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็ง ซึ่งจะทำให้ตับไม่สามารถนำวิตามินบี 1 ไปใช้ประโยชน์ได้
-ผู้ที่เป็นโรคไต ต้องฟอกไตและต้องกินยาขับปัสสาวะในปริมาณมาก
-ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้ขาดความสามารถในการดูดซึมวิตามินบี 1 จากอาหาร ซึ่งอาการอาจแสดงออกมาเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่ก็ได้
-ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการดูดซึมของวิตามินบี 1 และเพิ่มการขับวิตามินบี 1 ออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายดูดซึมและสะสมวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ
-ผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เนื่องจากได้รับวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ ร่วมกับการดูดซึมของลำไส้ไม่ดี และตับทำงานได้ไม่ดี (ตับแข็ง)
-ผู้ป่วยเรื้อรัง
-ผู้ป่วยที่มีไข้สูง เป็นโรคติดเชื้อ หรือมีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน อาจทำให้เกิดจากภาวะที่ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงต้องการวิตามินบี 1 สูงขึ้นด้วย
- แพทย์จะให้วิตามินบี 1 ในขนาด 10-20 มิลลิกรัม โดยการกินหรือฉีดให้วันละ 2-3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ (ผู้ป่วยที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ควรใช้ชนิดฉีดในขนาด 100 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 5-7 วัน) ต่อจากนั้นให้แบบกินในขนาด 10 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาอีกหลายสัปดาห์ (แพทย์อาจทำการตรวจเลือดเพื่อดูว่าร่างกายตอบสนองต่อวิตามินบี 1 นั้นด้วยหรือไม่ต่อไป)
- ในรายที่สงสัยว่ามีภาวะหัวใจวาย แพทย์จะฉีดวิตามินบี 1 ให้ในขนาด 25-50 มิลลิกรัม และให้ยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรซีไมด์ (Furosemide) ½ – 1 หลอด และถ้าจำเป็นอาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด และตรวจพิเศษอื่น ๆ แล้วให้วิตามินบี 1 และให้การรักษาแบบภาวะหัวใจวาย
- โรคนี้อาจพบได้ในผู้ใช้แรงงานหนักหรือชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายบึกบึน ที่รับประทานข้าวขาวอย่างเดียวในปริมาณมากแต่ไม่มีวิตามินบี 1 และรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 น้อย ก็สามารถทำให้เกิดภาวะพร่องวิตามินบี 1 ได้ ดังนั้นถ้าพบอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นโรคเหน็บชาในคนเหล่านี้ แพทย์จะให้การรักษาด้วยการกินวิตามินบี 1 ทันที รวมถึงให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่